tag:blogger.com,1999:blog-87310917442399025752024-02-08T04:07:33.157-08:00ReN's Japanese Study DiaryE-port for 222332 Applied Japanese Linguisticsaftertherainydayhttp://www.blogger.com/profile/15235830072877336023noreply@blogger.comBlogger9125tag:blogger.com,1999:blog-8731091744239902575.post-58694839834597082112010-02-28T19:58:00.000-08:002010-03-01T12:47:07.436-08:00ねじれ文(3):大発見?โอ้ว ขอมาอัพบลอกอย่างเร่งด่วน 0.0<br /><br />เนื่องจากตอนแรกได้ยินมาว่างานส่งวันที่ 3 แต่เพิ่งรู้เมื่อกี๊ว่าจริงๆส่งพรุ่งนี้อย่างที่เข้าใจตอนแรก -*-<br /><br />เพื่อไม่ให้เสียเวลาก็เข้าเรื่องเลยนะคะ<br /><br />ที่ขึ้นหัวข้อว่า <span style="font-weight: bold;">大発見</span> หรือการค้นพบที่ยิ่งใหญ่นั้น ไม่รู้ว่าจะเป็นการเข้าใจผิดไปเองรึเปล่า แต่ก็จะลองสรุปเรื่องที่ตัวเองค้นพบจากการศึกษางานเขียนของคนญี่ปุ่นเพื่อให้เข้าใจหลักการเขียนที่ไม่เกิด ねじれ文 นะคะ<br /><br />แต่ก่อนจะพูดถึงการค้นพบที่ยิ่งใหญ่(รึเปล่า?)ของเรานั้น ขอเท้าความถึงความเป็นมาก่อนหน้านั้นเล็กน้อย<br /><br />ในช่วงก่อนหน้านี้ เนื่องจากไม่มีโอกาสที่จะต้องเขียนงานส่งแล้ว เราเลยต้องศึกษาหัวข้อ ねじれ文นี้ โดยการนำบทอ่านจากวิชาJP READ ทั้ง I และ II มาศึกษาเพื่อสังเกตดูประโยคที่เขียนได้คล้องกันทั้งประโยคของคนญี่ปุ่น<br /><br />แต่ก็พบว่าประโยคแบบยาวๆแล้วไม่เกิด ねじれ文 ในบทอ่านนี่มีไม่มากเท่าไหร่เลย ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าพบประโยคที่มี ねじれ文 แต่อย่างใด แต่หมายความประโยคส่วนใหญ่มันไม่ได้ยาวติดกันเรื่อยๆน่ะค่ะ<br /><br />ตอนแรกก็เครียดนิดนึงที่หาตัวอย่างมาศึกษาได้น้อย แต่อยู่ๆก็นึกถึงตอนพรีเซนต์ที่พี่วิจิตราได้แนะนำไว้ว่า ไม่ต้องพยายามเขียนยาวๆให้สอดคล้องกันทั้งประโยคก็ได้ แต่ให้เขียนประโยคสั้นๆดีกว่า<br /><br />ทีนี้เลยเริ่มคิดขึ้นมาว่า หรือจริงๆรูปแบบการเขียนของภาษาญี่ปุ่นเค้าไม่นิยมประโยคยาวๆอยู่แล้วนะ?<br /><br />เลยลองกลับไปอ่านบทอ่านเหล่านั้น และสังเกตดูอีกรอบ ก็พบว่าประโยคส่วนใหญ่ถ้าไม่ได้เชื่อมประโยคด้วยคำประเภท 接続助詞 เช่น が けれど から ก็ไม่ได้ยาวมากจริงๆด้วย เช่น<br /><br /><blockquote><span style="color: rgb(153, 51, 153); font-weight: bold;">人間はいったいなぜ比喩などというものを使うのだろう。</span><span style="color: rgb(0, 0, 102); font-weight: bold;">実例に即して考えてみたい。</span><span style="font-weight: bold;">(参考 「比喩表現のいろいろ」)</span><br /></blockquote><br />ตอนนี้เราก็เข้าใจแล้วว่าเขียนประโยคญี่ปุ่นไม่ต้องยาวมากก็ได้จริงๆ แต่ก็เริ่มสงสัยขึ้นมาอีกว่า แล้วถ้าไม่ใช้พวกคำเชื่อมประโยค จะทำให้เนื้อความของแต่ละประโยคต่อเนื่องกันได้อย่างไร ขณะที่สงสัยก็ลองอ่านบทอ่านเหล่านั้นอีกรอบ ก็ได้ค้นพบเคล็ดลับ(?)บางอย่างในการเขียน文章ภาษาญี่ปุ่นค่ะ<br /><br />1) การใช้คำประเภท こ・そ・あ เพื่อเชื่อมเนื้อความระหว่างประโยคก่อนหน้าและประโยคถัดไป เช่น<br /><blockquote><br /><span style="color: rgb(102, 0, 204); font-weight: bold;">小学校</span><span style="font-weight: bold;">に勤める0先生は、ある年から、障害児学級を担当することになりました。</span><span style="color: rgb(102, 0, 204); font-weight: bold;">そこ</span><span style="font-weight: bold;">にTちゃんという二年生の女の子がいました。(参考 「人はなぜ書くのか」)</span></blockquote><br /><br />จะเห็นได้ว่าคำว่าそこในประโยคแรก หมายถึง小学校ในประโยคแรกนั่นเอง และทำให้ประโยคทั้ง 2 ประโยคเชื่อมกัน<br /><br />2) การใช้คำที่เกี่ยวข้องกับประโยคด้านหน้ามาพูดต่อในประโยคถัดไป เช่น<br /><br /><blockquote style="font-weight: bold;">花のパリというけれど、北緯五十度に位置するから、わりに<span style="color: rgb(255, 102, 0);">寒い</span>都で、九月半から暖房の入るところである。<span style="color: rgb(255, 102, 0);">冬</span>は底冷えがする。(参考 「温かいスープ」)</blockquote><br /><br />ใน 2 ประโยคนี้ ก็สังเกตได้ว่าคำคีย์เวิร์ดที่เชื่อมทั้ง 2 ประโยคไว้ด้วยกันคือคำว่า 寒い และ 冬 นั่นเอง<br /><br />อย่างไรก็ตาม เราก็ไม่รู้ว่าหลักการที่เราค้นพบนี้มันจะถูกต้องมั้ย แต่เราคิดว่ามันน่าจะช่วยลดความเสี่ยงในการเขียนประโยคที่มี ねじれ文 มากขึ้น และทำให้เราเข้าใจแล้วว่างานเขียนภาษาญี่ปุ่นไม่ต้องเขียนประโยคที่ยืดยาว แต่ทำให้ทั้งประโยคแต่ละประโยคและเนื้อความสอดคล้องกันโดยไม่ต้องใช้คำเชื่อมได้อย่างไร ตอนนี้เลยเริ่มเข้าใจที่เคยโดนเซนเซย์บอกว่าไม่ต้องใช้คำเชื่อมตรงนี้ก็ได้ว่าเป็นเพราะอย่างนี้นี่เอง และจะนำเคล็ดลับที่ได้ค้นพบครั้งนี้มาประยุกต์ใช้ในงานเขียนครั้งหน้าหากมีโอกาสแน่นอนค่ะaftertherainydayhttp://www.blogger.com/profile/15235830072877336023noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8731091744239902575.post-33281883785828526352010-02-12T04:20:00.000-08:002010-03-01T11:31:08.186-08:00ねじれ文(2)ก่อนอื่นรู้สึกผิดมากที่ไม่ได้มาอัพบลอกเลยตั้งหลายอาทิตย์ >< วันนี้เลยจะมาอัพย้อนหลังนะคะ ^ ^; คราวนี้ก็จะมาอัพเรื่อง ねじれ文 (อีกแล้ว 555) ก่อนอื่นเป็นประโยคที่เราพบจาก志望理由書ของเด็กมธ.ที่อาจารย์เอามาให้ดูนะ <blockquote><span style="color: rgb(255, 102, 0); font-weight: bold;">この授業は</span><span style="font-weight: bold;">、日本語・日本文化研修生を研究テーマ毎にグループに分けた共同調査班によるフィールドワークの</span><span style="color: rgb(255, 102, 0); font-weight: bold;">グループです</span><span style="font-weight: bold;">。</span></blockquote><br /><br />คิดว่าทุกคนน่าจะสังเกตเห็นทันทีเลยว่าภาคประธานและภาคแสดงไม่สอดคล้องกันอย่างชัดเจน คือตอนต้นพูดถึงคาบเรียน<span style="font-weight: bold;">(この授業) </span>แต่ตอนจบประโยคกลับบอกว่าเป็นกลุ่ม<span style="font-weight: bold;">(グループです)</span><br /><br />เราเลยจะขอลองแก้ประโยคนี้ดู เป็น...<br /><br /><span style="font-weight: bold;"><span style="color: rgb(153, 153, 0);">この授業は</span>、日本語・日本文化研修生を研究テーマ毎にグループに分けた共同調査班によるフィールドワークを中心とした<span style="color: rgb(153, 153, 0);">授業です</span>。</span><br /><br />แต่พอแก้ดูแล้ว ก็แอบรู้สึกแปลกๆตรงที่ทั้งต้นและท้ายประโยคเป็นคำเดียวกัน ถึงคิดว่ามันไม่(น่าจะ)ผิดหลักไวยากรณ์(รึเปล่า?) แต่ก็รู้สึกว่าแปลกๆยังไงไม่รู้ เลยลองแก้ดูใหม่เป็น...<br /><br /><span style="color: rgb(153, 153, 0); font-weight: bold;">この授業では</span><span style="font-weight: bold;">、日本語・日本文化研修生を研究テーマ毎にグループに分けた共同調査班によるフィールドワークを<span style="color: rgb(153, 153, 0);">行います</span>。</span><br /><br />รู้สึกว่าแบบนี้น่าจะดีกว่า แต่ก็ไม่แน่ใจว่าถูกรึยัง ยังไงถ้าใครเห็นว่าควรแก้เป็นแบบอื่นยังไงก็บอกได้นะคะ<br /><br />อ้อ แล้วก็ขอขอบคุณGoogle มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ ที่ให้เซิร์ชหาวิธีใช้ 555<br /><br />หลังจากที่ได้เห็นข้อผิดพลาดเรื่องねじれ文(ทั้งของตัวเองและคนอื่น)มาพอสมควรแล้ว พอเขียนงานอะไรเราก็รู้สึกว่าตัวเองระมัดระวังให้ภาคประธานและภาคแสดงสอดคล้องกันไปมากขึ้น ขอยกตัวอย่างประโยคที่เราคิดว่าเราได้意識เรื่องねじれ文ไปด้วยระหว่างที่เขียนนะคะ<br /><br /><span style="font-weight: bold;">貴大学での様々な</span><span style="color: rgb(204, 51, 204); font-weight: bold;">授業を受け</span><span style="font-weight: bold;">、<span style="color: rgb(153, 0, 0);">自分の日本語能力を上達する</span>とともに、擬音語・擬態語のことについてより<span style="color: rgb(204, 51, 204);">理解を深めたく</span>、また、<span style="color: rgb(204, 51, 204);">日本の文化や習慣などを身に付けたい</span>と思っております。</span><br /><br />เป็นประโยคที่เขียนตอนแก้タスク6ครั้งสุดท้ายค่ะ<br /><br />ที่คิดว่าตัวเองระมัดระวังเรื่องนี้ตอนเขียนเพราะตอนเขียนประโยคนี้จะค่อยๆคิดมากว่าตอนเริ่มประโยคเราใช้กริยาแบบ意志動詞 ตอนต่อๆมาก็ต้องใช้กริยาแบบ意志動詞ต่อทั้งประโยค ไม่เผลอไปใช้กริยาแบบ<rb>無意志動詞 ซึ่งก็ใช้เวลาหาปรับแต่งประโยคอยู่พอสมควรเหมือนกัน และสุดท้ายพอให้อาจารย์ตรวจ ประโยคนี้ก็ไม่ผิดด้วย</rb> ดีใจมาก 555 (แต่ตรงอื่นก็ผิดนะ 555 XD)<br /><br /><span style="color: rgb(153, 0, 0); font-weight: bold;">*ขอแก้ไขเล็กน้อยค่ะ คือตรง</span> <span style="font-weight: bold;"><span style="color: rgb(153, 0, 0);">自分の日本語能力を上達する ตอนพรีเซนต์อาจารย์บอกว่ามันผิดนะ แต่ตอนคืนงานอาจารย์ไม่ได้แก้กลับมาก เราเลยนึกว่าถูกน่ะค่ะ สรุปก็ยังผิดเรื่องนี้อยู่ดี >< </span></span><br /><br />แต่ถึงเราจะคิดว่าเราเริ่มมี意識ในเรื่องนี้แล้ว แต่หลังจากนั้นก็ผิดเรื่องนี้อีกจนได้ในวิชา JP WRIT III XD<br /><br /><span style="font-weight: bold;">なぜなら、私にとって結婚の良い点は子供がいる、いないかに関係なく、好きな人といられるからである。</span><br /><br />อิเคะทานิเซนเซย์แก้ให้เป็น...<br /><br /><span style="font-weight: bold;"><span style="color: rgb(153, 51, 153);">なぜなら</span>、私にとって結婚の良い点は子供がいる、いないかに関係なく、好きな人といられる<span style="color: rgb(102, 51, 255);">ことだ</span><span style="color: rgb(153, 51, 153);">からである</span>。</span><br /><br />ตอนที่เราดูประโยคนี้ครั้งแรกก็งงว่าผิดยังไง เราก็อุตส่าห์ระวังว่าข้างหน้าเป็น <span style="font-weight: bold;">なぜなら</span>แล้ว ข้างหลังจบด้วย<span style="font-weight: bold;">からである</span> ก็ไม่น่าจะผิดนี่นา แล้วทำไมต้องเติม <span style="font-weight: bold;">ことだ</span>ด้วย<br /><br />เราเลยไปถามอ.กนกวรรณ อาจารย์ก็บอกว่านี่มันเป็น ねじれ文นี่นา เราก็คิด อ้าว ผิดเรื่องนี้งั้นหรอ ดูไม่ออกเลย 555 XD แล้วอาจารย์ก็ช่วยอธิบายให้ฟังว่าที่ต้องมี ことだก็เพราะว่าตรงภาคประธานเราเป็นคำนาม <span style="font-weight: bold;">(私にとって結婚の良い点)</span> เลยต้องจบด้วยคำนาม <span style="font-weight: bold;">(好きな人といられることだ)</span> ด้วยมันถึงจะสอดคล้องกันทั้งประโยค เราถึงได้เข้าใจ ต้องขอบคุณอาจารย์มากๆอีกครั้งนะคะ<br /><br /><br />ป.ล.จะสอบแล้ว T Taftertherainydayhttp://www.blogger.com/profile/15235830072877336023noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-8731091744239902575.post-7205722548162302082010-01-16T11:10:00.000-08:002010-01-16T11:17:01.581-08:00タスク 5 REVISED:~て、~と・ねじれ文จากที่อาจารย์ให้แก้ タスク5 เป็นครั้งที่ 2 และให้อาจารย์ตรวจ ก็พบว่ายังมีข้อผิดอยู่ดี<br /><br />นั่นก็คือข้อความส่วนนี้<br /><br />でも、<span style="color: rgb(204, 51, 204);">家へ帰ると、テレビをつけて</span>、(そのあゆみさんが)乗るはずだった飛行機が(実は)墜落してしまったというニュース<span style="color: rgb(102, 0, 204); font-weight: bold;">が流れた</span>。<br /><br />ส่วนที่วงเล็บคือส่วนที่อาจารย์ให้ตัดออกไป และส่วนที่ทำตัวอักษรสีคือส่วนที่ผิดหลักไวยากรณ์<br /><br />ส่วนแรกคือ<br /><br /><span style="color: rgb(204, 51, 204);">家へ帰ると、テレビをつけて</span><br /><br />อาจารย์ ได้อธิบายในห้องให้ฟังว่า เพราะหลัง ~と ต้องเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญ แต่ประโยคของเรากลับบอกแค่ เปิดทีวี ซึ่งไม่ได้สำคัญอะไรเลย ถ้าเล่าให้คนอื่นฟังจริงๆ เค้าก็คงงง ดังนั้นจึงควรเปลี่ยนเป็น<br /><br /><span style="font-weight: bold; color: rgb(204, 51, 204);">うちへ帰って、テレビをつけると</span><br /><br />เพราะหลังจากนั้น จะเป็นประโยคที่บอกว่าในมีข่าวเรื่องเครื่องบินที่ไปขึ้นไม่ทันตก ซึ่งเป็นจุดสำคัญของเรื่องนี้<br /><br />นี่ เป็นครั้งแรกที่เราเข้าใจวิธีการใช้รูปประโยคที่มี ~とและ ~て อยู่ด้วยกันว่าต้องใช้ยังไง เพราะที่ผ่านมาก็ใช้มั่วๆตลอดเลย ต้องขอบคุณอาจารย์ที่ช่วยอธิบายให้เข้าใจจริงๆค่ะ ^ ^<br /><br />ส่วนต่อมาคือ<br /><br /><span style="color: rgb(102, 0, 204); font-weight: bold;">が流れた</span><br /><br />ดูแล้วอาจจะงงว่าทำไมเป็นส่วนสั้นๆแค่นี้ แต่นี่เป็นข้อผิดที่สำคัญมาก เพราะเป็นข้อผิดเรื่อง <span style="font-weight: bold;">ねじれ文</span> ที่เป็นหัวข้อพอร์ทเรา 555<br /><br />ส่วนนี้ผิดเนื่องจาก ภาคประธาน และ ภาคแสดงของเราไม่สอดคล้องกัน หรือเป็น ねじれ文 นั่นเอง<br /><br />เพราะ ในประโยคส่วนแรก เราบอกว่า อายูมิกลับบ้านมา พอเปิดทีวี แต่ประโยคต่อไปเรากลับบอกว่า ข่าวออกอากาศเรื่องเครื่องบินตก กล่าวคือ ประธานยังคงเป็นอายูมิอยู่ แต่กริยากลายเป็นคำว่า 流れた หรือออกอากาศ ทำให้ประโยคนี้ไม่สอดคล้องกันนั่นเอง จึงควรแก้ส่วนหลังเป็น <span style="font-weight: bold; color: rgb(51, 0, 153);">ニュースを聞いた</span> หรืิอ <span style="font-weight: bold; color: rgb(51, 0, 153);">ニュースを見た</span> เพื่อให้ภาคประธานและภาคแสดงของประโยคนี้สอดคล้องกัน<br /><br />ในส่วนนี้ที่ผิด เรายอมรับเลยว่าส่วนนึงเพราะดูจากสคริปต์ของคนญี่ปุ่นที่อาจารย์แจกให้ เค้าใช้คำว่า <span style="color: rgb(102, 0, 204); font-weight: bold;">流れた</span> เหมือนกันเลยใช้ตามบ้าง จากประโยค <span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 0, 102);">あとから、その飛行機のニュースが流れました。</span>แต่เราไม่ได้สังเกตเลยว่าในประโยคนี้เ้ค้ามีประธานแค่อย่างเดียวคือ ニュース ไม่ มีอย่างอื่นอยู่ข้างหน้าแบบเรา และอีกส่วนคือ ตอนที่เราเช็คดูอีกครั้งว่าประโยคนั้นมันแปลกมั้ย เราก็ไม่รู้สึกว่ามันแปลก อาจเพราะเราคิดเป็นภาษาไทยประมาณว่า พอกลับบ้าน เปิดทีวี ข่าวก็รายงานเรื่องเครื่องบินตก ซึ่งดูไม่แปลกในภาษาไทย แต่ผิดหลักภาษาญี่ปุ่น - -<br /><br />จากข้อผิดคราวนี้ ทำให้เราได้ตระหนักว่า...<br /><br />1.ไม่ควรลอกแบบประโยคของคนอื่น (ถึงแม้เป็นคนญี่ปุ่น) มาเป๊ะๆเลย เพราะเราอาจใช้รูปประโยคต่างจากเค้า และเกิดข้อผิดพลาดได้ 555<br /><br />2.ควรตรวจดูความสัมพันธ์ระหว่างภาคประธานและภาคแสดงของประโยคนั้นๆให้ดีๆ และไม่ควรคิดตามหลักภาษาไทย เพราะเราจะไม่意識ตามหลักภาษาญี่ปุ่น<br /><br />3.พยายามเขียนแบ่งประโยคบ้าง อย่าเขียนติดกันยาวๆจนเกินไป เพราะเกิดความผิดพลาดได้ง่าย เช่นคราวนี้ - -<br /><br />คิดว่าถ้าระมัดระวังตรงจุดเหล่านี้ก็น่าจะลดข้อผิดพลาดเรื่อง ねじれ文 ได้มากขึ้น(มั้ง) 555aftertherainydayhttp://www.blogger.com/profile/15235830072877336023noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8731091744239902575.post-88517807600981521622010-01-11T09:27:00.000-08:002010-01-12T03:08:12.482-08:00いろいろな問題วันนี้มีข้อสงสัยหลายเรื่อง เป็นประเด็นสั้นๆที่พบเจอช่วงนี้ค่ะ<br /><br />1.<span style="color: rgb(153, 51, 153);">*หลังจากเรียนในคาบวันนี้แล้ว ก็เข้าใจแล้วค่ะ เพราะงั้นข้ามข้อนี้ไปเลยก็ได้นะคะ 555</span><br /><br />จาก task 5 ที่อาจารย์ให้อัดเสียง แล้วถอดเทปมาให้จับกลุ่มอภิปรายกับเพื่อนในคาบที่แล้ว มีจุดนึงที่เพื่อนบอกว่าถ้าลองเปลี่ยนจะดีกว่ามั้ย คือให้เปลี่ยนจากพูดประโยคแบบต่อเนื่องไปเรื่อยๆโดยเชื่อมด้วย てและ で เป็นตัดจบประโยคบ้าง<br /><br />家へ帰ると、ええ、テレビをつけて、ニュースを見て、で、そのニュースは、ええ、あゆみさんが乗る…飛行機は事故があって、で、海に沈んだということが分かったの。<br /><br />(หมายเหตุ : กรุณาอย่าดูความผิดพลาดทางไวยากรณ์และรูปประโยคนะ 555)<br /><br />เพื่อนบอกว่าให้ตัดประโยคให้จบเป็น 家へ帰ると、ええ、テレビをつけて、ニュースを見た。แล้วค่อยขึ้นประโยคใหม่<br /><br />เราก็เห็นด้วยว่าประโยคนี้มันยาวมาก และถ้าตัดมันก็น่าจะดูดีขึ้น<br /><br />และก็รู้สึกขึ้นมาด้วยว่าตัวเองติดนิสัยพูดประโยคยาวๆ แล้วเชื่อมต่อกันแบบนี้ไปเรื่อยๆบ่อยๆ<br /><br />แต่เรารู้สึกว่านิสัยการพูดแบบนี้มันแก้ได้ยาก เพราะเวลาพูดภาษาญี่ปุ่นเรานึกอะไรได้ก็ต้องพูดเลย แล้วอีกอย่างคิดว่าน่าจะเป็นเพราะภาษาไทยเป็นภาษาที่ไม่มีการจบประโยคที่ชัดเจนด้วย ทำให้เราติดนิสัยพูดแบบนี้<br /><br />2. เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับที่คุยในคาบที่แล้วเหมือนกัน คือในตอนที่คุยกัน มีสคริปต์ของเพื่อนคนนึงที่ใช้คำช่วยをกับคำกริยารูปสามารถ<br />เราก็เลยถามว่าต้องใช้ が รึเปล่าตามที่เรียนมา<br />แต่เพื่อนอีกคนก็บอกว่าเคยเห็นใช้をกับคำกริยารูปสามารถเหมือนกัน<br />เราก็รู้สึกเหมือนเคยเห็น แต่ก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ เลยปล่อยเรื่องนี้ไป<br />แต่ก็บังเอิญได้เจอการใช้をกับคำกริยารูปสามารถในหนังสือที่เพิ่งยืมมาจากห้องสมุดจริงๆ<br /><br /><blockquote>たしかに<span style="font-weight: bold;">日本語を話せる</span>人にとっては日本語の文法は特に必要のないものですが、必要としている人たちもたくさんいます。(参考 『はじめての人の日本語文法』)<br /></blockquote><br /><br />ตอนนี้เราเลยสงสัยว่าแล้วมันต่างจากการใช้ がกับคำกริยารูปสามารถยังไง - -?<br /><br />3.จากหนังสือเล่มนั้น เรายังเจอประโยคที่ทำให้เราเกิดความสงสัยอีก ได้แก่<br /><br /><blockquote><br /><span style="font-weight: bold;">半年日本語を勉強しました</span>だけど、まだあまり話せません。(参考 『はじめての人の日本語文法』)</blockquote><br /><br />(อย่าสนใจว่าประโยคนี้แปลกๆตรง だけど เพราะเป็นจุดที่เค้าจงใจผิด และอธิบายไว้ในหนังสือแล้วน่ะ)<br /><br />สิ่งที่เราสงสัยคือ ในคาบที่แล้ว ตอนที่เราบอกว่าเราเคยใช้ประโยค 6年ごろ日本語を勉強しました ทุกคนก็ดูงงๆ<br />แล้วอาจารย์ก็สอนว่ารูปประโยคที่มีระยะเวลาบอกการกระทำกริยานั้นๆ<br />ถ้าเป็นกลุ่ม ②継続動詞 จะใช้รูป ระยะเวลา+กริยารูป ている ได้<br />ส่วนกลุ่ม ③瞬間動詞・結果動詞・変化動詞 ใช้รูป ระยะเวลา+กริยารูป ているไม่ได้ แต่ใช้รูป กริยาてから+ระยะเวลา+になります になりました 経ちます 経ちました แทน<br /><br />เราเลยสงสัยว่า แล้วสรุปรูป ระยะเวลา+กริยารูปอดีต หรือรูปたอย่างที่เราใช้สามารถใช้ได้หรือไม่ (อย่างที่เห็นในหนังสือเ่ล่มนั้นยกตัวอย่างไว้)<br /><br />(เหตุผลที่เราใช้รูปนั้นคือ เราคิดว่าณ ตอนที่เราพูด/เขียนประโยคที่บอกว่าเราทำอะไรมานานเท่าไหร่แล้ว สิ่งที่เราทำมาคือสิ่งที่ผ่านไปแล้วในอดีต และเราต้องการบอกระยะเวลาว่าเราทำสิ่งนี้มานานเท่าไหร่ เลยใช้เป็นรูปอดีต (งงมั้ย 555))<br /><br />4. ต่อมาอีกประโยคที่เราสงสัยจากหนังสือเล่มนั้น<br /><br /><blockquote>「安田成美を知っていますか。」<br />「<span style="font-weight: bold;">*知りませんが、あの人は有名な人ですか。</span>」(参考 『はじめての人の日本語文法』)</blockquote><br /><br />ประโยคนี้อยู่ในแบบฝึกหัดทบทวนท้ายบท และประโยคที่มีเครื่องหมาย * คือประโยคที่เค้าบอกว่ามีข้อผิด และให้เราคิดว่ามันผิดเพราะอะไร<br /><br />แต่ประเด็นคือ...เราไม่เห็นรู้เลยว่ามันผิดยังไง ><!--?!?!?<br-->ดูยังไงๆก็หาข้อผิดไม่เจอ แถมยังรู้สึกว่า็เป็นประโยคธรรมดาๆ - -"<br />มันผิดยังไงเนี่ยยยยยยย???<br /><br />ก็มีข้อสงสัยอย่างที่กล่าวมาข้างต้นค่ะ ^ ^;<br />ใครจะช่วยอธิบายตรงไหนก็ขอบคุณมากค่า 555<br /><br />ป.ล.เกี่ยวกับหนังสือ 『はじめての人の日本語文法』(ที่ทำให้เราเกิดข้อสงสัยมากมาย) เป็นหนังสือที่น่าสนใจเหมือนกัน ถ้าอ่านจบจะเอามาพูดถึงอีกทีค่ะ ^ ^ (เพิ่งอ่านจบบทเดียวเอง ฮ่าๆ XD)<br />ป.ล.2 อัพตอนดึกๆ รู้สึกว่าเขียนไม่ค่อยรู้เรื่อง อ่านแล้วงงตรงไหนบอกได้นะคะ 555aftertherainydayhttp://www.blogger.com/profile/15235830072877336023noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8731091744239902575.post-45471488229879831082010-01-03T05:23:00.000-08:002010-01-03T06:07:49.963-08:00「~ちゃん」つけなくていい?ก่อนอื่นขอสวัสดีปีใหม่ย้อนหลังหน่อยนะคะ<br />(ดองบล็อกข้ามปีเลยทีเดียว 555)<br />หลังจากนี้จะพยายามอัพให้บ่อยขึ้นแล้วค่ะ ><<br /><br />วันนี้จะมาอัพเรื่องการเติมคำว่า~ちゃんหลังชื่อของคนญี่ปุ่น<br />ตอนนี้เราเริ่มเกิดข้อสงสัยแล้วว่ามันใช้ยังไงกันแน่<br />จากเดิมที่เราเข้าใจว่าใช้ในหมู่คนที่สนิทกัน ผู้ใหญ่เรียกเด็ก เพื่อนเรียกเพื่อน(โดยเฉพาะเพื่อนผู้หญิง) ประมาณนี้<br />แต่จากเมลล์ที่เพื่อนญี่ปุ่นส่งมาให้เราทำให้เราแอบงงเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นมานิดหน่อยแล้วล่ะ - -"<br /><br />เรื่องมีอยู่ว่า เพื่อนผู้หญิงญี่ปุ่นคนนึงที่ก่อนหน้านี้ใช้รูปสุภาพ (รูปです・ます) คุยกันกับเรา (คนที่เราเคยสงสัยนั่นแหละว่าจะเปลี่ยนไปใช้รูปกันเองกับเค้ายังไง 555 (ใครงงไปอ่านตรงป.ล.ของเรื่อง タスク2: ストーリーテリングนะ))<br /><br />วันนึงเพื่อนคนนี้ส่งเมลล์มาหาเราแล้วตรงชื่อเมลล์เขียนว่า フォンへ เราก็งงๆนิดนึงเพราะปกติเค้าเรียกเราว่าフォンさん แล้วพอกดเข้าไปอ่านก็ยิ่งตกใจ เพราะคราวนี้ในเมลล์เขียนเป็นรูปกันเองหมดเลย ไม่มีรูปです・ますแม้แต่น้อย แต่ตอนนั้นก็ดีใจว่าเราไม่ต้องค่อยๆเปลี่ยนแล้ว เค้าเป็นคนเปลี่ยนมาเองหมดเลย เย้ๆ 5555<br /><br />ทีนี้ตอนตอบเมลล์ก็เลยใช้รูปกันเองตามเค้า แต่พอจะเขียนชื่อเค้าก็หยุดคิดนิดนึงว่าจะเรียกเค้าห้วนๆอย่างที่เค้าเรียกเราดีหรอ หรือจะใส่~ちゃんแบบที่เราเรียกเพื่อนญี่ปุ่นของเราอีกคน คิดอยู่นาน ไปๆมาๆก็เลยใช้ตามเค้า ไม่ใส่~ちゃんหลังชื่อ (ตามสำนวนเห็นช้างขี้ขี้ตามช้าง ฮ่าๆ XD) พอเค้าตอบกลับมาก็ไม่มีพูดถึงเรื่องนี้ แล้วเราก็ลืมเรื่องนี้ไป<br /><br />แต่อยู่มาวันนึงเราส่งเมลล์หาเค้า แล้วเราก็ลืมว่าคราวที่แล้วเราไม่ได้ใส่~ちゃんหลังชื่อเค้า คราวนี้เลยใส่ลงไปด้วยความเคยชิน และด้วยคิดว่ามันดูเป็นธรรมชาติดีเวลาคุยกะเพื่อนผู้หญิง (และดูน่ารักดีด้วย อิอิ ;D) แต่ตอนเค้าตอบมาตรงท้ายเมลล์เค้าบอกว่า<br /><br />あと、ちゃんつけなくていいよ~!<br />あたしもフォンて呼ぶから(>∪<)<br /><br />เราก็เลยเริ่มสงสัยว่า อ้าว ทำไมใช้~ちゃんไม่ได้ล่ะ <br />ตามความรู้สึกเราคือเรียกชื่อเฉยๆมันห้วนๆไปหน่อย แล้วก็เพื่อนผู้หญิงส่วนใหญ่ก็น่าจะใช้~ちゃんหลังชื่อกันนี่นา <br />ยกเว้นที่สนิทกันมากๆแบบเพื่อนญี่ปุ่นเรากะเพื่อนม.ปลายของเค้าที่เรียกกันด้วยชื่อเฉยๆอ่ะ<br />หรือนี่จะเป็นการบอกว่าเค้าอยากสนิทกะเรามากในระดับนั้น?<br />เราก็งงๆ แต่ก็ไม่รู้จะถามเค้ายังไง<br />ถ้าใครรู้เรื่องนี้ยังไงก็ช่วยอธิบายด้วยนะคะ (<- อีกแล้ว ฮ่าๆ)aftertherainydayhttp://www.blogger.com/profile/15235830072877336023noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-8731091744239902575.post-84831810967288795002009-11-30T07:08:00.000-08:002009-11-30T07:42:29.057-08:00~てもらうวันนี้จะมาอัพเรื่องนอกจากคาบเรียนภาษาศาสตร์ประยุกต์บ้าง<br /><br />เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อศุกร์ที่แล้วตอนหลังจากเลิกงานTA ปกติเราจะออกจากรร.พร้อมกับเซนเซย์ที่เราช่วยสอน แต่ก็มีบางทีที่เซนเซย์ต้องเคลียร์งานก็ให้เรากลับไปก่อนบ้าง วันนั้นเซนเซย์ก็ให้เรากลับไปก่อนเหมือนกัน โดยเซนเซย์พูดกับเราว่า...<br /><br />お先に帰ってもらっていいですか?<br /><br />คือจำประโยคแบบเป๊ะๆไม่ได้นะ แต่ที่แน่ๆมีรูป ~てもらう ต่อหลังคำว่า 帰る แน่นอน<br /><br />ตอนที่เราฟังก็รู้สึกสะกิดใจว่าทำไมเซนเซย์ต้องใช้รูป ~てもらう ด้วยนะ เพราะจำได้ว่าเคยอ่านจากหนังสือฮอป สเต็ป จัมป์ บอกว่ารูปนี้แสดงถึงความรู้สึกเป็นบุญคุณต่ออีกฝ่าย เลยงงว่า...<br /><br />การกลับบ้านของเราเป็นบุญคุณกับเซนเซย์...งั้นหรอ??<br />(อารมณ์เหมือน ~たら助かります ยังไงก็ไม่รู้ - -)<br /><br />โดยส่วนตัวแล้วเรารู้สึกว่าการใช้~てもらうในสถานการณ์นี้มันให้อารมณ์แปลกๆยังไงก็ไม่รู้ เหมือนถ้าแปลเป็นไทยก็ประมาณ "ช่วยกลับไปก่อนได้มั้ย?" คือพูดตรงๆก็เหมือนโดนไล่อ่ะ -*-<br /><br />หรือว่าจริงๆแล้วประโยคนี้อาจจะใช้ทั่วไปสำหรับคนญี่ปุ่น เราอาจจะคิด(มาก)ไปเอง...รึเปล่า - -?<br /><br />อาจารย์ พี่ๆ เพื่อนๆ คนไหนผ่านเข้ามาอ่านแล้วมีความเห็นว่าอย่างไรก็ช่วยคอมเมนท์ด้วยนะคะ ^ ^aftertherainydayhttp://www.blogger.com/profile/15235830072877336023noreply@blogger.com3tag:blogger.com,1999:blog-8731091744239902575.post-31623383905730460792009-11-24T07:15:00.000-08:002009-11-24T08:36:23.997-08:00タスク2: ストーリーテリングจากเมื่อคราวที่แล้วที่อาจารย์ให้อัดเสียงเล่าเรื่องของคู่รักคู่หนึ่งโดยสมมติว่ากำลังเล่าให้เพื่อนสนิทฟังและให้เล่าแบบฉับพลัน(หลอนคำนี้กันมั้ย 555)<br /><br />ในคาบวันนี้อาจารย์ก็แจกสคริปต์ที่ถอดเทปกันแล้วให้จับกลุ่มดิสคัสชั่นกับเพื่อน<br />ขั้นแรกอาจารย์ให้ดูว่ามีตรงไหนที่เราอยากพูดแต่ไม่ได้พูดในตอนนั้นหรือเปล่า<br />ของเราที่เจ็บใจมากๆตอนนั้นคือคำว่าวิก เพราะเคยรู้คำนี้อยู่แล้ว(จากชื่อนักเขียนการ์ตูนคนหนึ่ง ;D)<br />แต่ตอนพูดตอนนั้นดันนึกไม่ออกซะอย่างนั้น แล้วพอกลับบ้านก็นึกได้ - -!<br /><br />ต่อมา อาจารย์ให้แก้ส่วนที่เป็นไวยากรณ์ที่ตรงไหนผิดให้ถูกต้อง หลังจากนั้นก็ให้คุยกับเพื่อน <br />แต่รู้สึกกลุ่มเราทุกคนจะหมกมุ่นกับการแก้ของตัวเองจนแทบไม่ได้คุยอะไรกันเลย ^ ^;<br /><br />เสร็จแล้วอาจารย์ก็ให้ฟังที่เป็นของอาจารย์คนญี่ปุ่น 2 คนเล่าเรื่องนี้ แล้วสังเกตว่ามีความแตกต่างจากของเราอย่างไร<br />จากที่เราได้ฟังก็พบว่ามีความแตกต่างดังนี้<br /><br />1.ทั้งน้ำเสียงและลีลาการพูดของเขาไม่เกร็ง ไม่ตื่นเต้น (มันแน่นอนอยู่แล้วรึเปล่านะ เหอๆ - -) ถึงแม้จะมีบางช่วงที่พูดติดขัดนิดหน่อย แต่ก็ฟังเป็นธรรมชาติ ต่างจากของเราที่เอ่อๆอ่าๆ เว้นอะไรไม่รู้นานมาก แถมเสียงก็ไม่ใช่ที่จะเล่าเรื่องสนุกๆให้เพื่อนฟังง่ะ -*-<br /><br />2.ของอ.ทั้งสองจะใส่รายละเอียดเพิ่มเติมเยอะมาก สังเกตเห็นว่าทั้งอ.ผู้หญิงและอ.อิไวจะพูดถึงเรื่องที่ผู้ชายไปบ้านผู้หญิงแล้วไปเจอรูปก่อนศัลยกรรม ซึ่งเราเห็นว่าตรงนี้เป็นจุดที่ทำให้การเล่าเรื่องดูเป็นธรรมชาติเหมือนเล่าเรื่องที่เราได้รู้มาจริงๆ นอกจากนี้ ตอนที่เป็นจุดไคลแมกซ์ของเรื่องคือตอนที่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นก็หัวล้านใส่วิก อ.ทั้งสองก็ค่อยๆเล่าเป็นช็อตๆว่าเขาค่อยๆทำอย่างนี้ๆนะ ซึ่งก็ทำให้เรื่องที่เล่ามีรสชาติและทำให้ผู้ฟังสนุกสนานมากขึ้น แต่ของเรากลับเล่าแบบรวบรัดมากว่ามีแฟน โดนแฟนเห็นรูป แล้วจริงๆเค้าหัวล้าน จบ ประมาณนี้ -*-<br /><br />3.อ.ทั้ง 2 คนใช้メタ言語เยอะมากในการเล่าเรื่อง เช่น ねえ、ねえ、聞いてよ、もう大ピンチでしょう?、何したと思う?、どうなったと思う?เป็นต้น ซึ่งทำให้ผู้ฟังตื่นเต้นและเกิดความสนใจในเรื่องที่เล่ามากขึ้น ส่วนของเราก็มีใช้แต่แค่ครั้ง 2 ครั้งเอง - -"<br /><br />4.สังเกตเห็นว่าเขาจะไม่ใช้คำพูดเรื่องหัวล้าน เรื่องวิกตรงๆเท่าไหร่ เช่น อ.ผู้หญิงจะใช้คำว่าツルツルピカピカแทนคำว่าหัวล้าน ในขณะที่อ.อิไวก็ไม่พูดถึงเรื่องหัวล้านเลย ส่วนคำว่าวิกทั้ง 2 คนก็ใช้คำว่า 髪の毛 แทน และคำว่าใส่วิกอ.อิไวก็ไม่ได้ใช้คำว่า かつらをつける แต่ใช้คำว่า かつらだ แทน ซึ่งตรงนี้รู้สึกว่าจะเป็นความแตกต่างในการใช้คำของภาษาไทยและภาษาญี่ปุ่น เพราะถ้าเป็นคนไทยก็จะใช้คำนั้นไปเลย ตอนเล่าเลยกังวลที่จะต้องหาคำศัพท์คำนั้นมาพูดให้ได้ - -"<br /><br />5.นอกจาก ツルツルピカピカ แล้ว อ.ผู้หญิงก็ใช้ 擬態語 คำว่า ニコットตอนที่เ่ล่าว่าผู้ชายคนนั้นหัวเราะ ซึ่งตรงนี้เราก็เห็นว่าเป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งของภาษาญี่ปุ่นที่มีการใช้คำจำพวก擬音語・擬態語เยอะมาก ซึ่งทำให้เรื่องมีความสนุกสนานมากขึ้น<br /><br />6.เขามีการใช้รูปถูกกระทำ(受け身)เยอะมาก เ่ช่น 見られる、振られる、怒られるซึ่งรู้สึกว่านี่ก็เป็นจุดเ่ด่นอย่างหนึ่งที่พบบ่อยในภาษาญี่ปุ่นเหมือนกัน เราเองก็พยายามฝึกใช้อยู่แต่ก็ใช้ไปแค่คำเดียวตอนพูดคือ 見られる เหอๆ<br /><br />7.เรื่องคำลงท้าย の รู้สึกว่าเราจะไม่คุ้นกับการใช้คำนี้ลงท้ายประโยคบอกเล่าเลย ที่ใช้บ่อยๆจะเป็นในประโยคคำถามมากกว่า แต่ของอ.ผู้หญิงใช้เยอะมาก และแทบไม่ใช้คำลงท้าย よเลย นอกจากนี้ อีกคำที่เราใช้ไม่เป็นคือคำว่า わけ แต่เห็นอ.อิไวใช้อยู่บ่อยเหมือนกันเวลาเล่าเรื่อง ซึ่งคำเหล่านี้รู้สึกจะใช้กันบ่อยในบทสนทนาของคนญี่ปุ่น แต่เรากลับใช้ไม่เป็นเลยนี่สิ จะทำไงดีนะ -*-<br /><br /><br />จากการทำกิจกรรมครั้งนี้ก็ทำให้ได้เรียนรู้หลายๆอย่าง ได้รู้ว่าทักษะในการพูดภาษาญี่ปุ่นของเรา โดยเฉพาะในการสื่อสารเรื่องให้คนอื่นฟังยังต่ำอยู่มาก และได้รู้เคล็ดลับในการเล่าเรื่องของคนญี่ปุ่นว่ามีรูปแบบอย่างไร ซึ่งก็หวังว่าเราจะสามารถจำไปใช้เวลาพูดจริงได้นะ เหอๆ *-*<br /><br />ป.ล. วันนี้ตอนท้ายคาบอาจารย์พูดเรื่องภาษาญี่ปุ่นของคนญี่ปุ่นที่ยากที่จะเข้าใจว่าต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ โดยยกตัวอย่างจากอีเมลล์และเรื่องของชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นที่ประสบปัญหานี้ และมีตอนนึงมีเรื่องรูป です・ますว่าไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเปลี่ยนไปใช้รูปเป็นกันเองได้ดีทั้งๆที่สนิทสนมกันแล้ว เพราะต่างฝ่ายก็ต่างไม่กล้าเปลี่ยนก่อน ซึ่งมันเป็นปัญหาเดียวกับที่เรากำลังสงสัยกับเพื่อนญี่ปุ่นคนนึงเลย และพอลองถามอาจารย์หลังจบชั่วโมง อาจารย์บอกให้เราลองทำหัวข้อนี้เป็นหัวข้อพอร์ท ซึ่งมันก็น่าสนใจ แต่ประเด็นคือเค้าไม่ค่อยตอบเมลล์เรานี่สิ -*- <br />แต่พอเช็กเมลล์วันนี้ก็ตกใจมากเพราะเค้าตอบเมลล์เรามาพอดี และในนั้นส่วนใหญ่ใช้รูป です・ます แต่ก็มีอยู่ประโยค 2 ประโยคใช้รูปธรรมดา ตอนตอบเราก็เลยแอบใช้รูปธรรมดาไปบ้างตามเค้า 555 <br />อยากทำหัวข้อนี้เหมือนกันนะ แต่ไม่รู้เค้าจะตอบเมลล์เราบ่อยแค่ไหนนี่สิ เหอ - -"aftertherainydayhttp://www.blogger.com/profile/15235830072877336023noreply@blogger.com3tag:blogger.com,1999:blog-8731091744239902575.post-38746331713862443872009-11-23T05:55:00.000-08:002009-11-23T06:53:07.785-08:00タスク1:相手は何を知っているか?★「1回目のメール→2回目のメール→3回目のメール」をもう一度読んでください。自分の日本語 <br />または書き方がよくなったか、どのように変わってきたか、例を出しながら、分かったこと、勉強になったこと(友達から、例から、先生から、自分で考えたことから)をブログにまとめてください。<br /><br />*เขียนครั้งที่ 1*<br />タスクタイトル:ギタリスト(1回目)<br />山内さんへ<br />初めまして。タイ人のアティワンと申します。私は山内さんの歌が大好きで、よくコンサートを見に行きます。実は私の将来の夢はフラメンコ舞踊の伴奏家になることです。でも、もう5年ほどレッスンを受けていても、まだ上手ではありません。先日、山内さんのホームページで「個人レッスンを引き受ける」というお知らせを見て、応募したいと思います。日時や授業料など詳しい情報を問い合わせたいので、このメールを書きました。<br />よろしくお願いいたします。<br />アティワンより<br /><br />*เขียนครั้งที่2*<br />タスクタイトル:ギタリスト(2回目)(カノックワンに提出したもの)<br />山内修二先生<br />初めまして。タイ人のアティワンと申します。突然のメール、お許しください。先生のホームページを見て、先生の個人レッスンをぜひ受けたいと思いました。私の将来の夢はフラメンコ舞踊の伴奏家になることです。5年ほど田中留男フラメンコギター教室の伴奏科で毎週4時間の個人レッスンを受けてきました。そして、田中先生に相談したところ、山内先生のレッスンを受けたら、きっと上達するというアドバイスをいただきました。ですから、先生に日時と授業料について聞きたいのです。日時については私は先生のご都合に応じられますから、先生のいいご都合を知らせてもらいたいです。<br />お返事は急ぎませんから、どうぞよろしくお願いいたします。<br />アティワン<br /><br />*เขียนครั้งที่3*<br />タスクタイトル:ギタリスト(3回目)(最終版)<br />山内修二先生<br />初めまして。タイ人のアティワンと申します。突然のメール、お許しください。先生のホームページを見て、先生の個人レッスンをぜひ受けたいと思いました。私の将来の夢はフラメンコ舞踊の伴奏家になることです。5年ほど毎週4時間の田中留男フラメンコギターの個人レッスンを受けてきました。田中先生に相談したところ、山内先生のレッスンを受けたら、きっと上達するというアドバイスをいただきましたので、先生に教えていただければと思っています。では、ちょっと聞きたいことがあるんですが、1時間はどのぐらいでしょうか。そして、日時については私は先生のご都合に応じられますので、先生のいいご都合をお知らせいただけないでしょうか。<br />お返事は急ぎませんが、どうぞよろしくお願いいたします。<br />アティワン<br /><br />รู้สึกว่าครั้งแรกเขียนแบบงงมากๆ<br />เพราะแทบไม่เคยเขียนอีเมลล์อย่างเป็นทางการหรือถึงผู้ใหญ่เท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเขียนถึงเพื่อนๆกันมากกว่า <br />เลยนึกพวกสำนวนอะไรที่เป็นทางการไม่ออกเลย แถมไม่รู้ด้วยว่าถึงคนไม่สนิทไม่ต้องใช้ へกับより<br />และไม่รู้ว่าจะเรียงลำดับเนื้อหาของอีเมลล์อย่างไรดีระหว่างเรื่องการแสดงความชื่นชมตัวนักกีตาร์คนนี้กับการบอกจุดประสงค์ว่าเราต้องการสมัครเรียน<br />จึงรู้สึกว่าเรียงลำดับเนื้อหาแบบแปลกๆที่จบว่าเขียนเมลล์นี้มาเพื่ออะไรไว้ตอนท้ายสุด - -<br />นอกจากนี้ยังไม่ระบุสิ่งที่ต้องการถามอย่างชัดเจน และเงื่อนไขเรื่องเวลาของตนไปให้ผู้รับทราบเลย เพราะคิดว่าถ้าบอกของตนไปจะเป็นการทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าต้องปรับตามเราไปด้วยซึ่งเสียมารยาทต่อนักกีตาร์ที่เราเคารพคนนี้ แต่อาจารย์ก็อธิบายให้ฟังว่าถ้าบอกก็มีข้อดีตรงที่จะได้ไม่ต้องส่งเมลล์ถามตอบกันไปมาหลายครั้ง หรือถ้าไม่บอก แต่เราปรับตามเขาได้ก็ควรบอกให้เขารู้ว่าเราสามารถปรับตามเขาได้ไปเลย<br />และเมื่อได้ดูชีทตัวอย่างที่อาจารย์ให้ทำให้ได้รู้สำนวนที่ใช้ในการเขียนจดหมายหรืออีเมลล์อย่างเป็นทางการที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย เช่น 「突然のメール、お許しください」 「お手数ですが」 「お返事は急ぎませんが」 เป็นต้น <br />นอกจากนี้ ยังได้เห็นจากตัวอย่างในชีทว่าควรบอกพื้นฐานในการเรียนที่เรามีเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับผู้สอนอีกด้วย<br /><br />ในการเขียนครั้งที่ 2 รู้สึกว่าตัวเองแย่มากที่ส่วนใหญ่จะลอกตัวอย่างจากชีทมาและปรับแก้แค่เล็กน้อย แอบคิดว่ามันดีตรงที่อีเมลล์เราดูเป็นทางการกว่าครั้งแรกขึ้นมาก >.<,, แต่การเขียนครั้งนี้ก็ยังมีข้อด้อยตรงที่ใช้สำนวน「~たいです」「~から」ที่ไม่ควรใช้ในการเขียนอีเมลล์อย่างเป็นทางการและยังใช้คำถามเกี่ยวกับเงินค่าเรียนไปตรงๆซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องเสียมารยาทสำหรับคนญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามได้เพิ่มเติมรายละเอียดส่วนของเวลาที่เรียนว่าสามารถปรับตามผู้สอนได้ และตัดส่วนที่กล่าวชื่นชมผู้สอนที่ไม่จำเป็นออกไป<br /><br />และในการเขียนครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายจึงได้ปรับแก้ตามที่อาจารย์ให้คอมเมนต์ไว้ และเพิ่มเติมประโยคบางประโยคเพื่อให้เนื้อหาสมบูรณ์ขึ้น แต่ก็รู้สึกว่าบ่อยครั้งที่ไม่สามารถหาคำเชื่อมประโยคที่เหมาะสมได้จนต้องแก้ประโยคหลายครั้งเพื่อให้เข้ากับคำเชื่อมที่ใช้ ทั้งๆที่ถ้าหาคำเชื่อมที่เหมาะสมได้ก็ไม่ต้องแก้ประโยคแท้ๆ - -"<br />และถึงแม้จะเป็นการแก้ครั้งสุดท้าย เมื่อสักครู่ลองอ่านทวนดูอีกครั้งก็พบว่ายังมีจุดบกพร่องอีก เช่น ตรงประโยค私の将来の夢はフラメンコ舞踊の伴奏家になることです。กับ 5年ほど毎週4時間の田中留男フラメンコギターの個人レッスンを受けてきました。ถ้าเชื่อมเป็นประโยคเดียวกันก็น่าจะดีกว่า และลืมถามเรื่องสถานที่เรียนซึ่งเป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่ควรจะถามในการสมัครเรียนอีกด้วย (และอาจมีจุดอื่นๆอีกที่ยังไม่รู้ - -" )<br /><br />สรุปคือ จากการเขียนอีเมลล์เพื่อขอสมัครเรียนกีตาร์ทั้ง 3 ครั้ง มีจุดที่ดีขึ้นตรงที่เนื้อความกระชับและระบุจุดประสงค์ชัดเจน และใช้สำนวนที่เป็นทางการ<br />สิ่งที่ได้เรียนรู้คือรูปแบบและสำนวนในการเขียนจดหมายหรืออีเมลล์อย่างเป็นทางการ ข้อมูลที่ควรบอกผู้รับให้ทราบ ทั้งยังได้เรียนรู้สำนวนและไวยากรณ์ที่ไม่ควรใช้ไปพร้อมๆกันอีกด้วยaftertherainydayhttp://www.blogger.com/profile/15235830072877336023noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8731091744239902575.post-67217327243736741712009-11-17T05:53:00.000-08:002009-11-17T06:58:52.212-08:00初めまして!เย้!
<br />ในที่สุดก็ได้ฤกษ์เปิดบล็อกวิชาภาษาศาสตร์(ซักที 5555)
<br />
<br />วันนี้ก็จะอัพเรื่องที่เรียนไปในคาบ(เท่าที่จำได้นะ 5555)
<br />ก่อนอื่นอาจารย์เฉลยชีทสอบวัดระดับที่ให้ทำคราวที่แล้ว ซึ่งยากมากกกกกกกกกกกกก มีแต่ไวยากรณ์ที่ไม่รู้จักเต็มไปหมดเลย -*-
<br />ที่ทำได้มีแค่ 2-3ข้อเองมั้ง (ถึงรึเปล่านะ ฮ่าๆ - -) ชักสงสัยแล้วว่าตัวเองผ่านระดับ 2 มาได้ไง - -!
<br />แต่การทำชีทอันนี้ก็ดีตรงที่ทำให้ได้รู้ไวยากรณ์ใหม่เพิ่มเยอะมาก แต่ปัญหาคือจะจำไปใช้ได้รึเปล่านี่สิ - -
<br />
<br />เสร็จแล้วอาจารย์ก็อธิบายชีทไวยากรณ์ที่แจกให้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แล้วก็แจกแบบฝึกหัดคำเชื่อมที่แสดงความขัดแย้ง(มันเรียกว่าอะไรนะที่อาจารย์บอก 逆อะไรซักอย่าง - -? ลืมไปแล้วอ่ะ - -")ให้ทำ
<br />โชคดีที่คราวนี้อาจารย์ช่วยอธิบายให้ฟังก่อนทำเลยทำได้
<br />แต่ตอนที่ทำมินท์ถามเราว่า といっても กับからといってต่างกันยังไง เราก็ตอบไม่ได้แฮะ เพราะตอนที่ทำก็ใช้เซนส์ในการเลือกว่าอันไหนดูน่าจะใช่ - -"
<br />ยังงี้ถึงจะทำถูกก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรสินะเนี่ย -*-
<br />
<br />แล้วอาจารย์ก็ให้สอบเก็บคะแนน ซึ่งคราวนี้ยากกว่าคราวก่อนมากกกกกกกกกกกกก ถึงจะมีไวยากรณ์ที่รู้จักแต่พอเติมคำช่วยเพิ่มไปอย่าง いかんではเราก็งงแล้วอ่ะ แล้วบางอันถึงจะมีในชีทที่อ.ให้ทำครั้งแรกแต่ก็จำไม่ได้ง่า ตอนตรวจนี่รู้เลยว่าผิดเยอะ T T
<br />
<br />แล้วอาจารย์ก็แจกชีทไวยากรณ์เพิ่มพร้อมกับบอกว่าคราวหน้าก็จะสอบพร้อมของเดิมอีก
<br />โอ้ จะรอดมั้ยเนี่ย ต้องขยันจริงจังแล้วสินะ ><
<br />
<br />หลังจากพัก 20 นาที (เข้าห้องช้า ขอโทษนะคะ >/\<) อาจารย์ก็อธิบายประโยคที่ใช้ผิดในงานที่ต้องส่งเมลสมัครเรียนกีตาร์คราวที่แล้วให้ฟัง พบว่าหลายอันเป็นอันที่เราใช้ไปในอันที่แก้คราวที่ 2 นี่หว่า ฮ่าๆ แย่จริง XD
<br />แล้วก็ได้รู้สำนวนในการถามเรื่องเงินมาใหม่ว่าไม่ควรใช่คำเกี่ยวกับเงินตรงๆ แต่ให้เลี่ยงถามเป็น ~はどのぐらいでしょうか。เช่น1時間はどのぐらいでしょうか。(ไม่แน่ใจว่าตัวเองจดถูกมั้ย ระหว่างでしょうかกับですかเนี่ยอันไหนกันแน่นะ - -? )
<br />แล้วอาจารย์ก็แจกตัวอย่างของเพื่อนให้ดูพร้อมชี้ว่าควรปรับปรุงตรงไหน ซึ่งหลายจุดก็พบว่าเป็นข้อบกพร่องที่เราก็เป็นเหมือนกัน เช่น การใช้คำ副詞ที่ไม่จำเป็น การใช้なるกับなれる การใช้アスペクトที่ไม่ถูกต้อง - -"
<br />
<br />จากนั้นช่วงเวลาอันโหดร้ายก็มาถึงเมื่ออาจารย์ให้อัดเสียงเล่าเรื่องจากชีทที่แจกให้ >.<!!!
<br />เป็นเรื่องของผู้หญิงที่สวยเพราะทำศัลยกรรมทำให้ได้แฟนหล่อ จากนั้นถูกแฟนเห็นรูปสมัยก่อน แต่แฟนบอกว่าไม่เป็นไร เพราะเขาก็หัวล้านใส่วิกเหมือนกัน - -!
<br />อาจารย์บอกให้พูดเหมือนกำลังเล่าให้เพื่อนฟังอยู่ และต้องเล่าให้รู้สึกสนุกสนาน
<br />คือเรื่องมันก็ตลกอยู่นะ แต่เราเล่าได้ทุเรศมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
<br />แบบว่าเสียงไม่ตื่นเต้นอะไรเล๊ย แถมเล่าติดๆขัดๆ หายไปนานมากกว่าจะนึกได้แต่ละคำ พูดจาก็ไม่รู้เรื่องอีก -*-
<br />อัดเสร็จแล้วรู้สึกอยากร้องไห้ TT^TT
<br />แถมอาจารย์ยังบอกว่าให้ไปแกะแล้วปริ๊นมาให้ทุกคนดูคาบหน้าอีก โอ้ ชีวิต OTL!!!
<br />ถ้าคิดในแง่ดีก็คงดีกว่าต้องเปิดให้ทุกคนฟังสินะ TvT
<br />
<br />เสร็จแล้วอาจารย์ก็สั่งงานให้พิมพ์เมลที่เขียนหานักกีตาร์+คอมเมนท์ตั้งแต่ครั้งแรก และเขียนแก้ครั้งที่3 ส่งจันทร์หน้า(ห้ามลืม ฮ่าๆ XD)
<br />แล้วก็มีชีทแบบฝึกหัดไวยากรณ์อีกด้วย...
<br />
<br />もう頑張らないと!*0*
<br />
<br />ป.ล.ติดนิสัยเขียนบล็อกบ่นจริงๆนะเนี่ยเรา เหอๆ - -aftertherainydayhttp://www.blogger.com/profile/15235830072877336023noreply@blogger.com3